รายงานจากคณะกรรมการปกครองปี 2025 ตอน 4
Video
Other languages
Share text
Share link
Show times
Hide times
00:00:02
สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกคน00:00:05
00:00:05
ยินดีต้อนรับครับ00:00:07
00:00:08
ในรายงานนี้เราจะดูว่า00:00:11
00:00:11
เราจะใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล00:00:13
00:00:13
เพื่อตัดสินใจอย่างฉลาดได้ยังไง00:00:16
00:00:16
แต่ก่อนอื่น
ให้เรามาฟังเรื่องที่ให้กำลังใจกันครับ00:00:20
00:00:20
เราอยากเล่าให้ฟัง00:00:22
00:00:22
เกี่ยวกับการประชุมพิเศษ 2 แห่งเมื่อเร็วๆนี้00:00:25
00:00:25
วันที่ 23 ถึง 25 พฤษภาคม 202500:00:30
00:00:30
มีการจัดการประชุมพิเศษที่ซานตาครูซ00:00:34
00:00:34
ประเทศโบลิเวีย00:00:35
00:00:35
นี่เป็นการประชุมของพยานฯในโบลิเวีย00:00:38
00:00:38
ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา00:00:40
00:00:40
มีตัวแทนมากกว่า 1,900 คน00:00:43
00:00:43
จาก 10 ประเทศมาเข้าร่วม00:00:45
00:00:45
ยอดสูงสุดของผู้เข้าร่วมคือ 19,233 คน00:00:51
00:00:51
และมี 277 คนรับบัพติศมา00:00:55
00:00:56
และวันที่ 13 ถึง 15 มิถุนายน00:00:59
00:00:59
มีการประชุมพิเศษที่ติรานา00:01:02
00:01:02
ประเทศแอลเบเนีย00:01:04
00:01:04
ยอดผู้เข้าร่วมสูงสุดอยู่ที่ 8,987 คน00:01:09
00:01:09
และมีตัวแทนจาก 17 ประเทศ00:01:11
00:01:11
มาเข้าร่วมเกือบ 2,000 คน00:01:14
00:01:14
นี่ก็เป็นการประชุมที่ใหญ่ที่สุด00:01:17
00:01:17
ที่พยานพระยะโฮวาเคยจัดในแอลเบเนีย00:01:20
00:01:20
และมี 83 คนรับบัพติศมา00:01:24
00:01:25
เราดีใจจริงๆ00:01:26
00:01:26
ที่ได้เห็นประชาชนของพระยะโฮวา00:01:29
00:01:29
มานมัสการบริสุทธิ์ร่วมกัน00:01:32
00:01:33
โอกาสแบบนี้00:01:34
00:01:34
ทำให้เราคิดถึงสดุดี 133:1 ที่บอกว่า00:01:41
00:01:41
“ดูสิ เมื่อพี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว00:01:44
00:01:44
ก็เป็นเรื่องดีและน่าชื่นชมจริงๆ”00:01:48
00:01:49
ตอนนี้ ให้เรามาคุยกันว่า00:01:51
00:01:51
เราที่เป็นคริสเตียน00:01:53
00:01:53
จะตัดสินใจอย่างฉลาด00:01:55
00:01:55
โดยใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลได้ยังไง00:01:58
00:01:58
แทนที่จะตัดสินใจโดยพึ่งแต่กฎ00:02:02
00:02:02
ขอให้นึกถึงตัวอย่างนี้นะครับ00:02:06
00:02:06
ตอนที่เราเป็นเด็ก00:02:07
00:02:07
พ่อแม่จะตั้งกฎเพื่อให้เราปลอดภัย00:02:11
00:02:11
พ่อแม่มักจะบอกว่า00:02:13
00:02:13
ตอนที่ลูกจะข้ามถนนให้จับมือพ่อแม่ไว้00:02:18
00:02:18
ที่พ่อแม่ตั้งกฎแบบนี้00:02:21
00:02:21
ก็เพราะไม่อยากให้เราได้รับอันตราย00:02:24
00:02:24
แต่พออายุมากขึ้น00:02:26
00:02:26
เราก็ไม่ต้องจับมือพ่อแม่ตอนข้ามถนนแล้ว00:02:29
00:02:30
นี่เป็นเพราะไม่มีอันตรายแล้วไหม?00:02:33
00:02:33
ไม่00:02:34
00:02:34
แต่เราได้เรียนรู้ว่า00:02:36
00:02:36
ต้องดูถนนให้ดีๆก่อนข้าม00:02:38
00:02:38
เพื่อจะข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย00:02:41
00:02:42
แต่มันคงแปลกมากใช่ไหมครับ00:02:45
00:02:45
ถ้าผู้ชายอายุ 30 ที่แข็งแรงดี00:02:48
00:02:48
ยังต้องให้พ่อแม่คอยจูงมือข้ามถนนอยู่00:02:52
00:02:54
เหมือนกัน คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่00:02:57
00:02:57
ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎบอกทุกเรื่อง
เพื่อจะตัดสินใจ00:03:00
00:03:00
แต่เราจะดูว่าสถานการณ์เป็นยังไง00:03:04
00:03:04
และคิดถึงหลักการในคัมภีร์ไบเบิล00:03:07
00:03:07
แต่ถ้าคัมภีร์ไบเบิล
ไม่ได้มีกฎบอกเรื่องนั้นตรงๆ00:03:10
00:03:10
เราก็ต้องตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกผิดชอบ00:03:14
00:03:14
ที่ได้รับการฝึกอย่างดี00:03:16
00:03:17
ตัวอย่างเช่น00:03:18
00:03:18
ลองคิดถึงการใช้สัญลักษณ์00:03:20
00:03:20
หรือทำตามธรรมเนียม00:03:22
00:03:22
ที่มีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ00:03:26
00:03:26
เนื่องจากองค์การของเราใหญ่00:03:29
00:03:29
มีพี่น้องอยู่ใน 240 ดินแดน00:03:32
00:03:32
และในดินแดนเหล่านั้น00:03:34
00:03:34
ก็มีการใช้สัญลักษณ์00:03:36
00:03:36
และธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป00:03:38
00:03:39
แล้วเราจะตัดสินใจอย่างฉลาดได้ยังไง00:03:42
00:03:42
เกี่ยวกับการทำตามธรรมเนียมบางอย่าง00:03:44
00:03:44
หรือการใช้สัญลักษณ์?00:03:46
00:03:46
ต่อไปนี้เป็นหลักการพื้นฐาน 3 อย่าง00:03:50
00:03:50
ที่เราควรคิดถึง00:03:52
00:03:52
อย่างแรก00:03:54
00:03:54
ถ้าทำแบบนี้พระยะโฮวาจะไม่ชอบไหม?00:03:57
00:03:58
ที่ 2 โครินธ์ 6:1700:04:00
00:04:00
พระยะโฮวาบอกเราอย่างชัดเจนว่า00:04:03
00:04:03
“‘ดังนั้น ออกมาจากพวกเขา00:04:08
00:04:08
และแยกอยู่ต่างหาก00:04:10
00:04:10
เลิกแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด00:04:13
00:04:13
และเราจะรับพวกเจ้าไว้’”00:04:16
00:04:17
หลักการนี้เน้นว่า00:04:19
00:04:19
คริสเตียนต้องอยู่ให้ห่างจากสัญลักษณ์00:04:24
00:04:24
หรือธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ00:04:26
00:04:26
หรือไสยศาสตร์00:04:28
00:04:29
อย่างที่สอง00:04:30
00:04:30
ถ้าทำแบบนี้ พี่น้องในประชาคม00:04:33
00:04:33
จะคิดและรู้สึกยังไง?00:04:35
00:04:36
โรม 14:19 และ 21 เตือนเราว่า00:04:40
00:04:40
“ดังนั้น ให้เราตั้งใจทำสิ่งที่สร้างสันติสุข00:04:45
00:04:45
และสิ่งที่ส่งเสริมกันให้เข้มแข็งขึ้น”00:04:48
00:04:48
“ดีที่สุดถ้าจะไม่กินเนื้อ หรือดื่มเหล้าองุ่น00:04:52
00:04:52
หรือทำอะไรที่ทำให้ความเชื่อของพี่น้องอ่อนลง”00:04:56
00:04:57
ถึงสัญลักษณ์หรือธรรมเนียมนั้น00:04:59
00:04:59
มันไม่ได้ผิดอะไร00:05:01
00:05:01
แต่เราต้องคิดให้ดีว่า00:05:03
00:05:03
พี่น้องในประชาคมจะรู้สึกยังไง00:05:07
00:05:07
เราไม่อยากทำให้คนอื่น
รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เราทำ00:05:14
00:05:14
และเนื่องจากเป็นคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่00:05:18
00:05:18
เรารู้ว่าพี่น้องมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ00:05:21
00:05:21
ตามความรู้สึกผิดชอบ00:05:23
00:05:23
ที่ได้รับการฝึกจากคัมภีร์ไบเบิล00:05:27
00:05:28
อย่างที่สาม00:05:29
00:05:29
คนที่มีวัฒนธรรมเดียวกับฉัน
หรือคนในชุมชน00:05:34
00:05:34
รู้สึกยังไงกับสัญลักษณ์หรือธรรมเนียมนี้?00:05:37
00:05:37
เรื่องนี้มีหลักการอยู่ที่
1 โครินธ์ 9:20, 21 และ 2300:05:44
00:05:44
“เมื่อเจอคนยิว ผมก็ทำตัวเป็นคนยิว
เพื่อจะได้คนยิวเข้ามา00:05:48
00:05:48
เมื่อเจอคนที่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส ผมก็ทำตัวเป็นคนที่อยู่ใต้กฎหมายนั้น00:05:54
00:05:54
ทั้งๆที่ผมเองไม่อยู่ใต้กฎหมายนั้น...
เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสสเข้ามา00:05:59
00:05:59
เมื่อเจอคนที่ไม่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส00:06:02
00:06:02
ผมก็ทำตัวเหมือนคนที่ไม่อยู่ใต้กฎหมายนั้นด้วย00:06:05
00:06:05
แต่ผมยังทำตามกฎหมายของพระเจ้า
และอยู่ใต้กฎหมายของพระคริสต์00:06:09
00:06:09
ผมทำอย่างนั้นก็เพื่อจะได้
คนที่ไม่ถือกฎหมายของโมเสสเข้ามา00:06:14
00:06:14
“ผมทำทุกอย่างเพื่อข่าวดี
เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีกับคนอื่นๆ”00:06:20
00:06:20
หลักการในข้อนี้00:06:22
00:06:22
ช่วยให้เราเข้าใจว่า00:06:24
00:06:24
เราต้องคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น00:06:28
00:06:29
เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องรู้ว่า00:06:31
00:06:31
คนในชุมชนของเรารู้สึกยังไงกับสัญลักษณ์00:06:34
00:06:34
หรือธรรมเนียมบางอย่าง00:06:36
00:06:36
สัญลักษณ์หรือธรรมเนียมบางอย่าง00:06:39
00:06:39
ที่ทำให้คนในประเทศเรารู้สึกไม่ดี00:06:41
00:06:41
อาจไม่ส่งผล หรือไม่มีความหมายอะไรเลย00:06:45
00:06:45
กับผู้คนในประเทศอื่น00:06:48
00:06:48
ย้อนไปในปี 1976 วารสารตื่นเถิด!00:06:54
00:06:54
พูดถึงคำถามสำคัญที่ว่า00:06:57
00:06:58
“คริสเตียนควรคิดยังไงกับลวดลายและรูปทรง00:07:02
00:07:02
ที่เคยเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ00:07:05
00:07:05
ในบางช่วงเวลาหรือในบางพื้นที่?00:07:08
00:07:08
คุณอาจต้องคิดถึงเรื่องนี้ตอนเลือกลายวอลเปเปอร์00:07:12
00:07:12
ลายเนกไท หรือเสื้อผ้า00:07:16
00:07:16
หรือเครื่องประดับ เช่น กระดุมหรือคัฟลิงค์00:07:19
00:07:19
สร้อยข้อมือ รวมถึงสร้อยคอ00:07:22
00:07:22
หรือแม้แต่ของใช้ เช่น
ลวดลายบนโคมไฟหรือจานด้วย00:07:27
00:07:27
คุณอาจสงสัยว่า00:07:29
00:07:29
‘ลวดลายเหล่านี้มีอะไร
ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จไหม?’”00:07:33
00:07:34
แล้วตื่นเถิดก็พูดถึงจุดสำคัญว่า00:07:36
00:07:37
“ความหมายของลวดลายหรือรูปทรง00:07:40
00:07:40
มักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและสถานที่ เช่น00:07:44
00:07:44
ลวดลายบางอย่าง
อาจมีความหมายอย่างหนึ่งในประเทศหนึ่ง00:07:48
00:07:48
แต่ในประเทศอื่นไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น00:07:51
00:07:51
และพอเวลาผ่านไป00:07:52
00:07:52
ลวดลายนั้นก็ไม่ได้มีความหมาย
เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”00:07:55
00:07:56
“ถ้าอย่างนั้น คริสเตียนต้องคิดถึงอะไร?00:07:59
00:07:59
เราไม่ต้องไปคิดว่า00:08:00
00:08:00
ลวดลายนั้นจะมีความหมายยังไง
เมื่อหลายพันปีที่แล้ว00:08:04
00:08:04
หรือผู้คนในประเทศอื่นจะรู้สึกยังไง00:08:07
00:08:07
แต่ต้องคิดว่า ตอนนี้มันหมายถึงอะไร00:08:11
00:08:11
และคนที่นั่นรู้สึกยังไง”00:08:13
00:08:13
บทความนั้นยกตัวอย่างของลวดลายทั่วๆไป00:08:17
00:08:17
ที่ครั้งนึงเคยเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ00:08:20
00:08:21
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว00:08:25
00:08:26
ตัวอย่างที่ยกมา มีทั้งรูปหัวใจ00:08:30
00:08:30
สัญลักษณ์ดอกลิลลี่00:08:32
00:08:32
รูปทับทิม00:08:33
00:08:34
และตอนท้ายบทความ
ก็แนะนำดีมากเลยครับว่า00:08:37
00:08:37
“เนื่องจากมีลวดลายและสัญลักษณ์หลายอย่าง
ที่เคยใช้ในศาสนาเท็จ00:08:44
00:08:44
ดังนั้น ถ้าคนๆนึงพยายาม
และใช้เวลาเพื่อค้นคว้าดู00:08:49
00:08:49
เขาก็จะเห็นว่าลวดลายเกือบทุกอย่าง
เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จทั้งนั้น00:08:54
00:08:54
แล้วจะทำแบบนั้นทำไม00:08:57
00:08:57
มีแต่จะทำให้ไม่สบายใจไปเปล่าๆ00:08:59
00:09:00
และนี่เป็นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ไหม?00:09:03
00:09:03
ถ้าคนในประเทศของคุณคิดว่า00:09:06
00:09:06
ลวดลายหรือรูปทรงนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ00:09:09
00:09:09
ก็ดีกว่าที่คุณจะไม่ใช้มัน00:09:12
00:09:12
หรือถ้าคนส่วนใหญ่แถวนั้นรู้สึกไม่ดี00:09:14
00:09:14
กับลวดลายบางอย่าง00:09:16
00:09:16
คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่
อาจเลือกที่จะไม่ใช้มัน00:09:22
00:09:22
เพื่อไม่ทำให้คนอื่นสะดุดหรือไม่สบายใจ”00:09:26
00:09:26
หลักการเหล่านี้เป็นประโยชน์ใช่ไหมครับ?00:09:29
00:09:30
ธรรมเนียมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน00:09:33
00:09:33
เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกของผู้คนก็เปลี่ยน00:09:37
00:09:37
ในวารสารตื่นเถิด! 8 มกราคม 200000:09:41
00:09:41
มีบทความน่าสนใจที่ชื่อว่า00:09:44
00:09:44
“ทัศนะที่สมดุลเรื่องธรรมเนียมอันเป็นที่นิยม”00:09:49
00:09:49
ที่นี่บอกว่า “ธรรมเนียมได้รับอิทธิพล
อย่างลึกซึ้งจากศาสนา00:09:55
00:09:55
จริงๆแล้วธรรมเนียมหลายอย่าง00:09:56
00:09:56
มีต้นตอมาจากการถือโชคลางในสมัยโบราณ00:09:59
00:09:59
และแนวคิดทางศาสนา
ที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์”00:10:03
00:10:04
บทความนี้พูดถึงหลายตัวอย่าง00:10:06
00:10:07
บางตัวอย่างก็อาจมีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ00:10:12
00:10:12
แต่บทความบอกอย่างนี้ครับ00:10:14
00:10:14
“เมื่อเวลาผ่านไป ความเกี่ยวข้องทางศาสนา00:10:18
00:10:18
ก็ค่อยๆเลือนหายไป00:10:20
00:10:20
และในปัจจุบัน
กิจปฏิบัติและธรรมเนียมดังกล่าว00:10:24
00:10:24
ไม่มีนัยสำคัญทางศาสนาเลย”00:10:26
00:10:26
ดังนั้น คริสเตียนควรคิดถึงอะไรเป็นอันดับแรก?00:10:30
00:10:30
ถึงแม้อาจมีเหตุผล00:10:32
00:10:32
ที่จะพิจารณาต้นตอของธรรมเนียมบางอย่างโดยเฉพาะ00:10:35
00:10:35
แต่ในบางกรณีก็นับว่าสำคัญกว่า00:10:38
00:10:38
ที่จะพิจารณาว่าธรรมเนียมนั้น00:10:41
00:10:41
มีความหมายอะไรต่อผู้คนในเวลานั้น00:10:44
00:10:44
และในที่ที่เราอยู่00:10:45
00:10:46
หากธรรมเนียมอย่างหนึ่ง00:10:48
00:10:48
มีความหมายแฝง
ที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์00:10:51
00:10:51
หรือมีความหมายแฝงในแง่ลบ
ระหว่างช่วงเวลานั้น00:10:54
00:10:54
คริสเตียนอาจตัดสินใจอย่างฉลาด00:10:57
00:10:57
ที่จะหลีกเลี่ยงธรรมเนียมนั้น
ในช่วงเวลาดังกล่าว”00:11:01
00:11:01
แล้วทุกวันนี้มีตัวอย่างอะไรบ้างครับ?00:11:04
00:11:05
การเอามือปิดปาก00:11:07
00:11:07
ตอนที่เราหาวครับ00:11:09
00:11:10
ในสมัยโบราณ บางคนทำอย่างนั้น00:11:14
00:11:14
เพราะคิดว่าจะช่วยป้องกัน00:11:16
00:11:16
ไม่ให้วิญญาณออกจากร่างของเขา00:11:20
00:11:20
แล้วทุกวันนี้ล่ะครับ?00:11:22
00:11:22
ทุกวันนี้การปิดปากตอนหาว00:11:24
00:11:24
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนมองว่าสุภาพ00:11:27
00:11:27
และไม่ได้มีความหมายอะไร
ที่เกี่ยวกับวิญญาณเลย00:11:31
00:11:32
แล้วการใส่แหวนแต่งงานล่ะครับ?00:11:34
00:11:34
นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่า00:11:36
00:11:36
แหวนแต่งงานมาจากพวกนอกรีต00:11:39
00:11:39
แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มองว่า00:11:42
00:11:42
การใส่แหวนแต่งงานเป็นสัญลักษณ์00:11:45
00:11:45
ที่แสดงว่าเขาแต่งงานแล้ว00:11:48
00:11:49
และการคิดถึงช่วงเวลา
ก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยครับ เช่น00:11:53
00:11:53
การประดับไฟตกแต่ง00:11:55
00:11:56
พี่น้องเบเธลที่วอร์วิกหลายคน00:11:59
00:11:59
ชอบเอาไฟตกแต่ง00:12:01
00:12:01
มาติดที่ระเบียงของพวกเขา00:12:04
00:12:04
แต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม00:12:07
00:12:07
พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้น00:12:10
00:12:10
เพราะอะไรครับ?00:12:11
00:12:11
เพราะคนทั่วไปมองว่า00:12:14
00:12:14
การติดไฟประดับไว้หน้าบ้าน00:12:17
00:12:17
เป็นการฉลองคริสต์มาส00:12:19
00:12:18
ซึ่งเป็นเทศกาลของศาสนาเท็จ00:12:22
00:12:22
พี่น้องในเบเธลเลยไม่ติดไฟตกแต่งในช่วงนั้น00:12:25
00:12:25
เพื่อจะไม่มีใครเข้าใจผิดว่า00:12:27
00:12:27
พวกเราฉลองคริสต์มาส00:12:30
00:12:31
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ00:12:33
00:12:33
การชูแก้วหรือการชนแก้วกัน00:12:37
00:12:38
นานหลายปีแล้วที่พยานพระยะโฮวา00:12:40
00:12:40
หลีกเลี่ยงการทำแบบนี้00:12:42
00:12:42
เพราะดูเหมือนว่า00:12:44
00:12:44
มันอาจมีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ00:12:47
00:12:47
แต่ดูเหมือนว่าในทุกวันนี้00:12:50
00:12:50
การชูแก้วหรือการชนแก้วกัน00:12:53
00:12:53
ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จอีกต่อไป00:12:57
00:12:57
ผู้คนมองว่ามันเป็นแค่00:13:00
00:13:00
การสังสรรค์กับเพื่อนๆ00:13:02
00:13:03
ดังนั้น หลังจากอธิษฐานและคิดอย่างรอบคอบแล้ว00:13:07
00:13:06
คณะกรรมการปกครองได้ตัดสินใจว่า00:13:10
00:13:09
เราไม่จำเป็นต้องมีกฎ00:13:12
00:13:12
ในเรื่องการชูแก้วหรือชนแก้วกันอีกต่อไป00:13:16
00:13:16
คริสเตียนแต่ละคนควรใช้หลักการ00:13:20
00:13:20
ที่เราได้คุยกันไปแล้วในตอนต้น00:13:23
00:13:23
และใช้ความรู้สึกผิดชอบที่ได้รับการฝึกอย่างดี00:13:27
00:13:27
เพื่อจะตัดสินใจ00:13:29
00:13:29
นี่หมายความว่า00:13:31
00:13:32
เราสามารถชนแก้วกันก่อนดื่ม00:13:35
00:13:35
ได้ทุกที่และทุกโอกาสเลยไหม?00:13:39
00:13:39
ไม่ใช่ครับ00:13:42
00:13:42
เราแค่บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องมีกฎในเรื่องนี้00:13:46
00:13:46
คริสเตียนแต่ละคน00:13:49
00:13:49
ต้องใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล00:13:52
00:13:51
เพื่อตัดสินใจในแต่ละสถานการณ์00:13:56
00:13:56
เนื่องจากประชาชนของพระยะโฮวา00:13:59
00:13:59
รับใช้อยู่ใน 240 ดินแดน00:14:01
00:14:01
และพี่น้องแต่ละที่00:14:03
00:14:03
ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน00:14:05
00:14:06
เราขอบคุณจริงๆ00:14:08
00:14:08
ที่พระยะโฮวาให้หลักการเหล่านี้กับพวกเรา00:14:12
00:14:12
ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล00:14:14
00:14:15
ให้เรามาทบทวนด้วยกันครับ00:14:18
00:14:18
หลักการแรกและสำคัญที่สุด00:14:22
00:14:22
คือเรารักพระยะโฮวา00:14:24
00:14:24
และอยากทำให้พระองค์พอใจเสมอ00:14:27
00:14:27
เราอาจถามตัวเองว่า00:14:30
00:14:30
‘พระยะโฮวาจะไม่ชอบไหม ถ้าเราชนแก้วกัน?’00:14:34
00:14:34
ตัวอย่างเช่น00:14:36
00:14:36
การทำอย่างนี้เกี่ยวข้องกับวันหยุดทางศาสนา00:14:38
00:14:38
หรือวันหยุดประจำชาติไหม?00:14:41
00:14:41
หรือการชนแก้ว00:14:42
00:14:42
เป็นแค่การแสดงว่าเรารักเพื่อน00:14:46
00:14:46
แล้วเราอยากให้พวกเขามีสุขภาพดี?00:14:50
00:14:50
หลักการที่สอง00:14:52
00:14:52
เรารักพี่น้องชายหญิงของเรา00:14:54
00:14:54
และไม่อยากทำอะไร
ที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจ00:14:59
00:14:59
เราคิดถึงความรู้สึกของเขา00:15:02
00:15:02
รวมถึงความรู้สึกผิดชอบด้วย00:15:04
00:15:05
หลักการที่สาม00:15:06
00:15:06
เพราะเรารักพระยะโฮวาและรักคนอื่นๆ00:15:09
00:15:10
ดังนั้นเราต้องรู้ว่า00:15:12
00:15:12
ผู้คนรู้สึกยังไงกับธรรมเนียมนั้น00:15:15
00:15:15
และเราต้องคิดถึง
ความรู้สึกของพวกเขาครับ00:15:19
00:15:19
เราได้เรียนอะไรบ้าง?00:15:22
00:15:22
พระยะโฮวาไม่ได้อยากให้เราลำบาก
โดยให้มีกฎมากมาย00:15:27
00:15:27
แทนที่จะทำอย่างนั้น00:15:29
00:15:29
เพราะความรักพระองค์เลยให้หลักการกับเรา00:15:33
00:15:33
เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ00:15:36
00:15:36
และตัดสินใจเรื่องต่างๆได้อย่างฉลาด00:15:39
00:15:39
ซึ่งรวมถึงการใช้สัญลักษณ์
และทำตามธรรมเนียม00:15:42
00:15:43
แล้วเราต้องคิดถึง
ความรู้สึกผิดชอบของคนอื่นด้วย00:15:47
00:15:47
เราต้องระวัง00:15:49
00:15:49
ไม่ยัดเยียดความคิดของเราให้คนอื่น00:15:52
00:15:52
พระยะโฮวาให้เราตัดสินใจเอง00:15:55
00:15:55
และเราก็ต้องเคารพ
การตัดสินใจของคนอื่นเหมือนกัน00:15:59
00:16:00
ถ้าเราใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล00:16:02
00:16:02
ด้วยความรักและความเข้าใจ00:16:05
00:16:05
พวกเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน00:16:08
00:16:08
และไม่ทำให้ใครสะดุดหรือไม่สบายใจ00:16:11
00:16:11
เราตั้งใจจะอธิษฐาน00:16:14
00:16:14
เหมือนที่อัครสาวกเปาโลบอกไว้00:16:17
00:16:17
ในเอเฟซัส 4:1300:16:20
00:16:20
เอเฟซัส 4:13 บอกว่า00:16:23
00:16:23
“เราทุกคน00:16:26
00:16:26
จะมีความเชื่ออย่างเดียวกัน00:16:29
00:16:29
และมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับท่าน00:16:32
00:16:32
ผู้เป็นลูกของพระเจ้า00:16:35
00:16:34
และเติบโตอย่างเต็มที่00:16:37
00:16:37
จนเป็นผู้ใหญ่เหมือนพระคริสต์”00:16:39
00:16:40
พี่น้องครับ00:16:42
00:16:42
เราอยากให้คุณรู้ว่า00:16:44
00:16:44
เรารักพวกคุณทุกคนมากจริงๆ00:16:48
00:16:49
และนี่คือ00:16:52
00:16:52
รายการโทรทัศน์ JW00:16:55
00:16:55
จากสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา00:16:59
รายงานจากคณะกรรมการปกครองปี 2025 ตอน 4
-
รายงานจากคณะกรรมการปกครองปี 2025 ตอน 4
สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกคน
ยินดีต้อนรับครับ
ในรายงานนี้เราจะดูว่า
เราจะใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล
เพื่อตัดสินใจอย่างฉลาดได้ยังไง
แต่ก่อนอื่น
ให้เรามาฟังเรื่องที่ให้กำลังใจกันครับ
เราอยากเล่าให้ฟัง
เกี่ยวกับการประชุมพิเศษ 2 แห่งเมื่อเร็วๆนี้
วันที่ 23 ถึง 25 พฤษภาคม 2025
มีการจัดการประชุมพิเศษที่ซานตาครูซ
ประเทศโบลิเวีย
นี่เป็นการประชุมของพยานฯในโบลิเวีย
ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา
มีตัวแทนมากกว่า 1,900 คน
จาก 10 ประเทศมาเข้าร่วม
ยอดสูงสุดของผู้เข้าร่วมคือ 19,233 คน
และมี 277 คนรับบัพติศมา
และวันที่ 13 ถึง 15 มิถุนายน
มีการประชุมพิเศษที่ติรานา
ประเทศแอลเบเนีย
ยอดผู้เข้าร่วมสูงสุดอยู่ที่ 8,987 คน
และมีตัวแทนจาก 17 ประเทศ
มาเข้าร่วมเกือบ 2,000 คน
นี่ก็เป็นการประชุมที่ใหญ่ที่สุด
ที่พยานพระยะโฮวาเคยจัดในแอลเบเนีย
และมี 83 คนรับบัพติศมา
เราดีใจจริงๆ
ที่ได้เห็นประชาชนของพระยะโฮวา
มานมัสการบริสุทธิ์ร่วมกัน
โอกาสแบบนี้
ทำให้เราคิดถึงสดุดี 133:1 ที่บอกว่า
“ดูสิ เมื่อพี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ก็เป็นเรื่องดีและน่าชื่นชมจริงๆ”
ตอนนี้ ให้เรามาคุยกันว่า
เราที่เป็นคริสเตียน
จะตัดสินใจอย่างฉลาด
โดยใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลได้ยังไง
แทนที่จะตัดสินใจโดยพึ่งแต่กฎ
ขอให้นึกถึงตัวอย่างนี้นะครับ
ตอนที่เราเป็นเด็ก
พ่อแม่จะตั้งกฎเพื่อให้เราปลอดภัย
พ่อแม่มักจะบอกว่า
ตอนที่ลูกจะข้ามถนนให้จับมือพ่อแม่ไว้
ที่พ่อแม่ตั้งกฎแบบนี้
ก็เพราะไม่อยากให้เราได้รับอันตราย
แต่พออายุมากขึ้น
เราก็ไม่ต้องจับมือพ่อแม่ตอนข้ามถนนแล้ว
นี่เป็นเพราะไม่มีอันตรายแล้วไหม?
ไม่
แต่เราได้เรียนรู้ว่า
ต้องดูถนนให้ดีๆก่อนข้าม
เพื่อจะข้ามถนนได้อย่างปลอดภัย
แต่มันคงแปลกมากใช่ไหมครับ
ถ้าผู้ชายอายุ 30 ที่แข็งแรงดี
ยังต้องให้พ่อแม่คอยจูงมือข้ามถนนอยู่
เหมือนกัน คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่
ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎบอกทุกเรื่อง
เพื่อจะตัดสินใจ
แต่เราจะดูว่าสถานการณ์เป็นยังไง
และคิดถึงหลักการในคัมภีร์ไบเบิล
แต่ถ้าคัมภีร์ไบเบิล
ไม่ได้มีกฎบอกเรื่องนั้นตรงๆ
เราก็ต้องตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกผิดชอบ
ที่ได้รับการฝึกอย่างดี
ตัวอย่างเช่น
ลองคิดถึงการใช้สัญลักษณ์
หรือทำตามธรรมเนียม
ที่มีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ
เนื่องจากองค์การของเราใหญ่
มีพี่น้องอยู่ใน 240 ดินแดน
และในดินแดนเหล่านั้น
ก็มีการใช้สัญลักษณ์
และธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป
แล้วเราจะตัดสินใจอย่างฉลาดได้ยังไง
เกี่ยวกับการทำตามธรรมเนียมบางอย่าง
หรือการใช้สัญลักษณ์?
ต่อไปนี้เป็นหลักการพื้นฐาน 3 อย่าง
ที่เราควรคิดถึง
อย่างแรก
ถ้าทำแบบนี้พระยะโฮวาจะไม่ชอบไหม?
ที่ 2 โครินธ์ 6:17
พระยะโฮวาบอกเราอย่างชัดเจนว่า
“‘ดังนั้น ออกมาจากพวกเขา
และแยกอยู่ต่างหาก
เลิกแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด
และเราจะรับพวกเจ้าไว้’”
หลักการนี้เน้นว่า
คริสเตียนต้องอยู่ให้ห่างจากสัญลักษณ์
หรือธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ
หรือไสยศาสตร์
อย่างที่สอง
ถ้าทำแบบนี้ พี่น้องในประชาคม
จะคิดและรู้สึกยังไง?
โรม 14:19 และ 21 เตือนเราว่า
“ดังนั้น ให้เราตั้งใจทำสิ่งที่สร้างสันติสุข
และสิ่งที่ส่งเสริมกันให้เข้มแข็งขึ้น”
“ดีที่สุดถ้าจะไม่กินเนื้อ หรือดื่มเหล้าองุ่น
หรือทำอะไรที่ทำให้ความเชื่อของพี่น้องอ่อนลง”
ถึงสัญลักษณ์หรือธรรมเนียมนั้น
มันไม่ได้ผิดอะไร
แต่เราต้องคิดให้ดีว่า
พี่น้องในประชาคมจะรู้สึกยังไง
เราไม่อยากทำให้คนอื่น
รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เราทำ
และเนื่องจากเป็นคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่
เรารู้ว่าพี่น้องมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ
ตามความรู้สึกผิดชอบ
ที่ได้รับการฝึกจากคัมภีร์ไบเบิล
อย่างที่สาม
คนที่มีวัฒนธรรมเดียวกับฉัน
หรือคนในชุมชน
รู้สึกยังไงกับสัญลักษณ์หรือธรรมเนียมนี้?
เรื่องนี้มีหลักการอยู่ที่
1 โครินธ์ 9:20, 21 และ 23
“เมื่อเจอคนยิว ผมก็ทำตัวเป็นคนยิว
เพื่อจะได้คนยิวเข้ามา
เมื่อเจอคนที่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส ผมก็ทำตัวเป็นคนที่อยู่ใต้กฎหมายนั้น
ทั้งๆที่ผมเองไม่อยู่ใต้กฎหมายนั้น...
เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสสเข้ามา
เมื่อเจอคนที่ไม่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส
ผมก็ทำตัวเหมือนคนที่ไม่อยู่ใต้กฎหมายนั้นด้วย
แต่ผมยังทำตามกฎหมายของพระเจ้า
และอยู่ใต้กฎหมายของพระคริสต์
ผมทำอย่างนั้นก็เพื่อจะได้
คนที่ไม่ถือกฎหมายของโมเสสเข้ามา
“ผมทำทุกอย่างเพื่อข่าวดี
เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีกับคนอื่นๆ”
หลักการในข้อนี้
ช่วยให้เราเข้าใจว่า
เราต้องคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น
เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องรู้ว่า
คนในชุมชนของเรารู้สึกยังไงกับสัญลักษณ์
หรือธรรมเนียมบางอย่าง
สัญลักษณ์หรือธรรมเนียมบางอย่าง
ที่ทำให้คนในประเทศเรารู้สึกไม่ดี
อาจไม่ส่งผล หรือไม่มีความหมายอะไรเลย
กับผู้คนในประเทศอื่น
ย้อนไปในปี 1976 วารสาร<i>ตื่นเถิด!</i>
พูดถึงคำถามสำคัญที่ว่า
“คริสเตียนควรคิดยังไงกับลวดลายและรูปทรง
ที่เคยเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ
ในบางช่วงเวลาหรือในบางพื้นที่?
คุณอาจต้องคิดถึงเรื่องนี้ตอนเลือกลายวอลเปเปอร์
ลายเนกไท หรือเสื้อผ้า
หรือเครื่องประดับ เช่น กระดุมหรือคัฟลิงค์
สร้อยข้อมือ รวมถึงสร้อยคอ
หรือแม้แต่ของใช้ เช่น
ลวดลายบนโคมไฟหรือจานด้วย
คุณอาจสงสัยว่า
‘ลวดลายเหล่านี้มีอะไร
ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จไหม?’”
แล้วตื่นเถิดก็พูดถึงจุดสำคัญว่า
“ความหมายของลวดลายหรือรูปทรง
มักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและสถานที่ เช่น
ลวดลายบางอย่าง
อาจมีความหมายอย่างหนึ่งในประเทศหนึ่ง
แต่ในประเทศอื่นไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น
และพอเวลาผ่านไป
ลวดลายนั้นก็ไม่ได้มีความหมาย
เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น คริสเตียนต้องคิดถึงอะไร?
เราไม่ต้องไปคิดว่า
ลวดลายนั้นจะมีความหมายยังไง
เมื่อหลายพันปีที่แล้ว
หรือผู้คนในประเทศอื่นจะรู้สึกยังไง
แต่ต้องคิดว่า ตอนนี้มันหมายถึงอะไร
และคนที่นั่นรู้สึกยังไง”
บทความนั้นยกตัวอย่างของลวดลายทั่วๆไป
ที่ครั้งนึงเคยเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว
ตัวอย่างที่ยกมา มีทั้งรูปหัวใจ
สัญลักษณ์ดอกลิลลี่
รูปทับทิม
และตอนท้ายบทความ
ก็แนะนำดีมากเลยครับว่า
“เนื่องจากมีลวดลายและสัญลักษณ์หลายอย่าง
ที่เคยใช้ในศาสนาเท็จ
ดังนั้น ถ้าคนๆนึงพยายาม
และใช้เวลาเพื่อค้นคว้าดู
เขาก็จะเห็นว่าลวดลายเกือบทุกอย่าง
เกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จทั้งนั้น
แล้วจะทำแบบนั้นทำไม
มีแต่จะทำให้ไม่สบายใจไปเปล่าๆ
และนี่เป็นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ไหม?
ถ้าคนในประเทศของคุณคิดว่า
ลวดลายหรือรูปทรงนั้นเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ
ก็ดีกว่าที่คุณจะไม่ใช้มัน
หรือถ้าคนส่วนใหญ่แถวนั้นรู้สึกไม่ดี
กับลวดลายบางอย่าง
คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่
อาจเลือกที่จะไม่ใช้มัน
เพื่อไม่ทำให้คนอื่นสะดุดหรือไม่สบายใจ”
หลักการเหล่านี้เป็นประโยชน์ใช่ไหมครับ?
ธรรมเนียมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกของผู้คนก็เปลี่ยน
ในวารสาร<i>ตื่นเถิด</i><i>!</i> 8 มกราคม 2000
มีบทความน่าสนใจที่ชื่อว่า
“ทัศนะที่สมดุลเรื่องธรรมเนียมอันเป็นที่นิยม”
ที่นี่บอกว่า “ธรรมเนียมได้รับอิทธิพล
อย่างลึกซึ้งจากศาสนา
จริงๆแล้วธรรมเนียมหลายอย่าง
มีต้นตอมาจากการถือโชคลางในสมัยโบราณ
และแนวคิดทางศาสนา
ที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์”
บทความนี้พูดถึงหลายตัวอย่าง
บางตัวอย่างก็อาจมีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ
แต่บทความบอกอย่างนี้ครับ
“เมื่อเวลาผ่านไป ความเกี่ยวข้องทางศาสนา
ก็ค่อยๆเลือนหายไป
และในปัจจุบัน
กิจปฏิบัติและธรรมเนียมดังกล่าว
ไม่มีนัยสำคัญทางศาสนาเลย”
ดังนั้น คริสเตียนควรคิดถึงอะไรเป็นอันดับแรก?
<b>ถึงแม้อาจมีเหตุผล</b>
ที่จะพิจารณาต้นตอของธรรมเนียมบางอย่างโดยเฉพาะ
แต่ในบางกรณีก็นับว่าสำคัญกว่า
ที่จะพิจารณาว่าธรรมเนียมนั้น
มีความหมายอะไรต่อผู้คนในเวลานั้น
และในที่ที่เราอยู่
หากธรรมเนียมอย่างหนึ่ง
มีความหมายแฝง
ที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์
หรือมีความหมายแฝงในแง่ลบ
ระหว่างช่วงเวลานั้น
คริสเตียนอาจตัดสินใจอย่างฉลาด
ที่จะหลีกเลี่ยงธรรมเนียมนั้น
ในช่วงเวลาดังกล่าว”
แล้วทุกวันนี้มีตัวอย่างอะไรบ้างครับ?
การเอามือปิดปาก
ตอนที่เราหาวครับ
ในสมัยโบราณ บางคนทำอย่างนั้น
เพราะคิดว่าจะช่วยป้องกัน
ไม่ให้วิญญาณออกจากร่างของเขา
แล้วทุกวันนี้ล่ะครับ?
ทุกวันนี้การปิดปากตอนหาว
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนมองว่าสุภาพ
และไม่ได้มีความหมายอะไร
ที่เกี่ยวกับวิญญาณเลย
แล้วการใส่แหวนแต่งงานล่ะครับ?
นักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่า
แหวนแต่งงานมาจากพวกนอกรีต
แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มองว่า
การใส่แหวนแต่งงานเป็นสัญลักษณ์
ที่แสดงว่าเขาแต่งงานแล้ว
และการคิดถึงช่วงเวลา
ก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยครับ เช่น
การประดับไฟตกแต่ง
พี่น้องเบเธลที่วอร์วิกหลายคน
ชอบเอาไฟตกแต่ง
มาติดที่ระเบียงของพวกเขา
แต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม
พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้น
เพราะอะไรครับ?
เพราะคนทั่วไปมองว่า
การติดไฟประดับไว้หน้าบ้าน
เป็นการฉลองคริสต์มาส
ซึ่งเป็นเทศกาลของศาสนาเท็จ
พี่น้องในเบเธลเลยไม่ติดไฟตกแต่งในช่วงนั้น
เพื่อจะไม่มีใครเข้าใจผิดว่า
พวกเราฉลองคริสต์มาส
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ
การชูแก้วหรือการชนแก้วกัน
นานหลายปีแล้วที่พยานพระยะโฮวา
หลีกเลี่ยงการทำแบบนี้
เพราะดูเหมือนว่า
มันอาจมีต้นตอมาจากศาสนาเท็จ
แต่ดูเหมือนว่าในทุกวันนี้
การชูแก้วหรือการชนแก้วกัน
ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จอีกต่อไป
ผู้คนมองว่ามันเป็นแค่
การสังสรรค์กับเพื่อนๆ
ดังนั้น หลังจากอธิษฐานและคิดอย่างรอบคอบแล้ว
คณะกรรมการปกครองได้ตัดสินใจว่า
เราไม่จำเป็นต้องมีกฎ
ในเรื่องการชูแก้วหรือชนแก้วกันอีกต่อไป
คริสเตียนแต่ละคนควรใช้หลักการ
ที่เราได้คุยกันไปแล้วในตอนต้น
และใช้ความรู้สึกผิดชอบที่ได้รับการฝึกอย่างดี
เพื่อจะตัดสินใจ
นี่หมายความว่า
เราสามารถชนแก้วกันก่อนดื่ม
ได้ทุกที่และทุกโอกาสเลยไหม?
ไม่ใช่ครับ
เราแค่บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องมีกฎในเรื่องนี้
คริสเตียนแต่ละคน
ต้องใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล
เพื่อตัดสินใจในแต่ละสถานการณ์
เนื่องจากประชาชนของพระยะโฮวา
รับใช้อยู่ใน 240 ดินแดน
และพี่น้องแต่ละที่
ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน
เราขอบคุณจริงๆ
ที่พระยะโฮวาให้หลักการเหล่านี้กับพวกเรา
ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
ให้เรามาทบทวนด้วยกันครับ
หลักการแรกและสำคัญที่สุด
คือเรารักพระยะโฮวา
และอยากทำให้พระองค์พอใจเสมอ
เราอาจถามตัวเองว่า
‘พระยะโฮวาจะไม่ชอบไหม ถ้าเราชนแก้วกัน?’
ตัวอย่างเช่น
การทำอย่างนี้เกี่ยวข้องกับวันหยุดทางศาสนา
หรือวันหยุดประจำชาติไหม?
หรือการชนแก้ว
เป็นแค่การแสดงว่าเรารักเพื่อน
แล้วเราอยากให้พวกเขามีสุขภาพดี?
หลักการที่สอง
เรารักพี่น้องชายหญิงของเรา
และไม่อยากทำอะไร
ที่ทำให้พวกเขาไม่สบายใจ
เราคิดถึงความรู้สึกของเขา
รวมถึงความรู้สึกผิดชอบด้วย
หลักการที่สาม
เพราะเรารักพระยะโฮวาและรักคนอื่นๆ
ดังนั้นเราต้องรู้ว่า
ผู้คนรู้สึกยังไงกับธรรมเนียมนั้น
และเราต้องคิดถึง
ความรู้สึกของพวกเขาครับ
เราได้เรียนอะไรบ้าง?
พระยะโฮวาไม่ได้อยากให้เราลำบาก
โดยให้มีกฎมากมาย
แทนที่จะทำอย่างนั้น
เพราะความรักพระองค์เลยให้หลักการกับเรา
เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
และตัดสินใจเรื่องต่างๆได้อย่างฉลาด
ซึ่งรวมถึงการใช้สัญลักษณ์
และทำตามธรรมเนียม
แล้วเราต้องคิดถึง
ความรู้สึกผิดชอบของคนอื่นด้วย
เราต้องระวัง
ไม่ยัดเยียดความคิดของเราให้คนอื่น
พระยะโฮวาให้เราตัดสินใจเอง
และเราก็ต้องเคารพ
การตัดสินใจของคนอื่นเหมือนกัน
ถ้าเราใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล
ด้วยความรักและความเข้าใจ
พวกเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
และไม่ทำให้ใครสะดุดหรือไม่สบายใจ
เราตั้งใจจะอธิษฐาน
เหมือนที่อัครสาวกเปาโลบอกไว้
ในเอเฟซัส 4:13
เอเฟซัส 4:13 บอกว่า
“เราทุกคน
จะมีความเชื่ออย่างเดียวกัน
และมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับท่าน
ผู้เป็นลูกของพระเจ้า
และเติบโตอย่างเต็มที่
จนเป็นผู้ใหญ่เหมือนพระคริสต์”
พี่น้องครับ
เราอยากให้คุณรู้ว่า
เรารักพวกคุณทุกคนมากจริงๆ
และนี่คือ
รายการโทรทัศน์ JW
จากสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวา
-