JW subtitle extractor

เทรนต์ ลิปโปลด์: คนไม่สมบูรณ์แบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น—วันสำเร็จการศึกษาของนักเรียนกิเลียดรุ่น 158

Video Other languages Share text Share link Show times

เขาทำหลายอย่างที่ดีตอนมีชีวิตอยู่
ถึงเขาจะตายแล้วสิ่งนั้นก็ยังอยู่
เราจะเรียนอะไรได้จากเรื่องราว
ของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ให้เรามาดูกันครับ
เราจะเริ่มอ่านที่ยอห์นบท 3
ในข้อ 27 และ 28 ครับ
ยอห์น 3:27, 28
“ยอห์นบอกเขาว่า
“คนเราจะทำอะไรได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าให้เขาทำ
พวกคุณก็เคยได้ยินผมพูดแล้วนี่ว่า
‘ผมไม่ใช่พระคริสต์
แต่ผมถูกส่งมาล่วงหน้าท่าน’”
ในข้อนี้ยอห์นกำลังอธิบาย
เรื่องหนึ่งกับสาวกของเขา
ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดไว้
ที่ลูกา 3:16
ว่าเขามีงานมอบหมายหนึ่งที่ต้องทำ
เขาบอกที่นี่ว่า
เขาจะทำอะไรได้
ก็ต่อเมื่อพระเจ้าให้เขาทำ
แล้วพระเจ้าให้เขาทำอะไร?
ยอห์นบอกว่า
“ผมถูกส่งมาล่วงหน้า”
เขามีส่วนร่วมในงานมอบหมายที่สำคัญ
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
งานของเขาคืออะไรครับ?
พ่อแม่ของเขารู้ว่ามีงานอะไร
ตั้งแต่เขายังไม่เกิด
ทูตสวรรค์มาบอกพ่อของยอห์น
เขาเป็นคนที่อิสยาห์
บอกล่วงหน้าไว้ชัดว่า
เขาจะ “ส่งเสียงร้อง”
และเขาเป็นคนที่มาลาคีบอกล่วงหน้าว่า
จะเป็นผู้พยากรณ์เอลียาห์
คนที่ได้รับงานมอบหมาย
ให้เป็นผู้พยากรณ์แบบนี้
เขาน่าจะไปทำงานที่ไหน?
คุณอาจจะคิดว่าต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม
แต่ไม่ใช่เลย
เขาต้องไปทำงานมอบหมายในที่กันดาร
เขาจะส่งเสียงร้องอยู่ในที่กันดาร
เนื่องจากยอห์นเป็นนาศีร์
เขาเลยต้องต้านทานการล่อใจต่างๆ
เพื่อจะทำงานมอบหมายของเขาให้สำเร็จได้
เพราะงานมอบหมายที่เขาได้รับ
เขาเลยทำบางอย่างเหมือนคนอื่นไม่ได้
เขาไม่ได้ทำอะไรสนุกเหมือนคนอื่น
งานที่ยอห์นทำคืองานอะไร?
เขาเป็นผู้พยากรณ์ แต่ไม่ได้เห็นนิมิต
และไม่ได้ทำการอัศจรรย์
แต่งานที่เขาทำก็สำคัญมาก
มีการบอกล่วงหน้าว่ายอห์นจะทำให้ “พ่อคืนดีกับลูกและลูกคืนดีกับพ่อ”
กฎหมายของโมเสสเป็นพี่เลี้ยง
ที่พาเราไปหาพระคริสต์
บทบาทของยอห์นก็คือทำให้
ชาวอิสราเอลคืนดีกับพระยะโฮวา
และยอมรับเมสสิยาห์
บทเรียนที่เราได้จากตัวอย่างของยอห์นก็คือ
ทำหน้าที่ของคุณ
เต็มใจ ยอมรับงานมอบหมาย
และทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด
ให้เราอ่านกันต่อที่ยอห์นบท 3
ขอสังเกตในข้อ 29 และ 30 นะครับ
ในข้อ 26
พวกสาวกของยอห์นมาบอกเขาว่า
“ทุกคนก็ไปหาเขา” คือพระเยซู
สาวกของยอห์นไม่ชอบที่เห็นอาจารย์
ของพวกเขาเป็นรองคนอื่น
สังเกตไหมว่ายอห์นตอบสาวกของเขายังไง?
ในข้อ 29 เขาใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบแบบนี้
“เจ้าสาวเป็นของเจ้าบ่าว
แต่เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนรออยู่
ก็ดีใจมากที่ได้ยินเสียงเจ้าบ่าว
นี่แหละเป็นเหตุผลที่ผมดีใจจริงๆ”
สิ่งที่ทำให้ยอห์นมีความสุขก็คือ
การทำงานมอบหมายที่พระยะโฮวาให้เขาทำ
แสดงว่ายอห์นเป็นคนถ่อมมาก
และเขาก็ไม่เคยแข่งขันกับพระเยซู
แม้บทบาทของพระเยซูจะสำคัญกว่า
แต่งานของยอห์นก็สำคัญด้วย
เขาพอใจกับงานมอบหมายของตัวเอง
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะยอห์นเป็นคนถ่อม
และเห็นค่าในสิ่งที่เขามี
ดังนั้นให้เราดีใจกับคนอื่น
เมื่อเห็นคนอื่นได้รับสิ่งดีๆ
ให้มาดูว่าเขาพูดยังไงต่อในข้อ 30
“ท่านผู้นั้นจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนตัวผมจะมีน้อยลง” “มีน้อยลง”
ยอห์นรู้ว่าอีกไม่นาน
งานมอบหมายของเขาก็จะจบ
บทบาทของเขาจะมีน้อยลง
งานมอบหมายของเขามีเริ่มแล้วก็มีจบ
ถ้าเราเข้าใจว่างานมอบหมาย
ที่เราได้รับไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด
เราก็จะมีความสุขกับงานอะไรก็ตาม
ที่ได้ช่วยสนับสนุนคนอื่น
ยอห์นรู้ว่าสักวันหนึ่ง
งานมอบหมายของเขาจะจบ
แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
หลังจากยอห์นเริ่มทำงานได้ 6 เดือน
เขาได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ
ให้บัพติศมาพระเยซู
แล้ว 6 เดือนต่อมา
เขาถูกเฮโรดอันทีพาสจับขังคุก
แต่งานของเขาจบแค่นี้ไหม?
ให้เรามาดูด้วยกันที่มาระโกบท 6
และอ่านในข้อที่ 20 ครับ
ข้อนี้พูดถึงยอห์นตอนที่เขาอยู่ในคุก
ข้อ 20 อ่านว่า
“เพราะเฮโรดเกรงยอห์นอยู่
เขารู้ว่ายอห์นเป็นคนดีและเลื่อมใสพระเจ้า
จึงคอยปกป้องยอห์น
ทุกครั้งที่เฮโรดฟังยอห์นสอนก็ไม่สบายใจ
แต่ก็ยังชอบฟังเขาอยู่”
ดูเหมือนเฮโรดจะเห็นใจยอห์น
และชอบฟังตอนที่ยอห์นสอน
เฮโรดรู้ว่ายอห์นไม่ใช่คนธรรมดา
แล้วยอห์นพูดอะไรกับเฮโรดอันทีพาส
สังเกตไหมครับ?
ยอห์นไม่โกหก เขาพูดความจริงเสมอ
ยอห์นไม่ได้ยกยอเฮโรดเพื่อหวังจะให้เขาช่วย
แต่ยอห์นพยายามช่วยเฮโรด
โดยบอกความจริงกับเขา
ยอห์นยังคงส่งเสียงร้องอยู่ในที่กันดาร
ทำไมถึงบอกอย่างนั้น?
เพราะเขาพยายามพูด
เพื่อช่วยให้เฮโรดกลับใจ
ได้รับความเมตตาจากพระเจ้า
ยอมรับพระเยซู และมีชีวิตตลอดไป
ยอห์นยังส่งเสียงร้องอยู่ในที่กันดาร
แม้สภาพการณ์ของคุณจะเปลี่ยนไป
ขอให้พูดความจริงเสมอ
และทำงานมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ต่อไป
ตอนที่ยอห์นยังมีชีวิตอยู่
ดูเหมือนพระเยซูไม่ได้พูดถึงเขามากเท่าไหร่
แต่หลังจากที่ยอห์นตายไปแล้ว
ท่านก็พูดเกี่ยวกับยอห์น
ผู้ให้บัพติศมาหลายครั้ง
ขอสังเกตว่าประมาณหนึ่งปี
หลังจากที่ยอห์นติดคุก
พระเยซูพูดถึงเขาว่ายังไง?
ที่มัทธิวบท 11 ครับ
มัทธิว 11:7
“เมื่อสาวกของยอห์นไปแล้ว
พระเยซูก็หันไปพูดกับผู้คนเรื่องยอห์นว่า
“ตอนเข้าไปในที่กันดาร
พวกคุณอยากเห็นอะไร?
อยากเห็นต้นอ้อลู่ตามลมอย่างนั้นหรือ?”
ต้นอ้อปกติแล้วมีให้เห็นทั่วไป
ตามริมแม่น้ำจอร์แดน
พระเยซูหมายความว่ายังไง?
ยอห์นไม่ใช่คนธรรมดา
ใครที่ได้เห็นยอห์นพวกเขาก็ได้เห็นคนที่พิเศษ
ปกติแล้วถ้าเป็นคนธรรมดา
ก็ไม่ค่อยมีใครอยากไปหา
แต่นี่ฝูงชนไปในที่กันดารเพื่อที่จะไปดูยอห์น
แสดงว่าเขาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ
ยอห์นเขาลู่ตามลมไหม?
ไม่ เขายืนหยัด แน่วแน่ มั่นคง
แต่มีมากกว่านั้นอีก
พระเยซูบอกในข้อ 11 ว่า
“ผมจะบอกให้รู้ว่า
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาคนนี้
ยิ่งใหญ่กว่าทุกคนที่เคยเกิดมาในโลกนี้”
ตอนงานรับใช้ของเขาสิ้นสุดลง
เขาไม่ได้เป็นเหมือนเอลียาห์หรือโมเสส
ที่งานรับใช้จบลงอย่างมีเกียรติ
เพราะหลังจากที่พระเยซูพูดประโยคนี้
ไม่ถึงปี เขาก็ถูกประหาร
เรื่องของเขาเตือนใจเราว่า
งานมอบหมายที่เราได้รับจะมีวันจบ
ซึ่งเป็นงานมอบหมายที่
เรารักและทุ่มเทมาตลอด
แต่ผู้คนยังจดจำและพูดถึงสิ่งดีๆที่คุณเคยทำ
ที่คุณอาจจะไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร
เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายของเราอยู่แล้ว
แต่ตัวอย่างที่ดีของคุณจะส่งผลดีต่อไป
ให้เรามาดูข้อสุดท้ายครับ
คำพูดของพระเยซูที่ยอห์นบท 10
ยอห์นบท 10 ข้อ 39
พระเยซูหนีไป เพราะตอนนั้น
พวกยิวอยากจะฆ่าท่าน
แต่ในข้อ 40 บอกว่า
ท่านไปที่แม่น้ำจอร์แดน
และไปบริเวณที่ยอห์นเคยให้บัพติศมา
เราคุยกันไปแล้วในชั้นเรียนว่า
ที่นี่เป็นที่ที่พิเศษมากสำหรับพระเยซู
ทำให้ท่านนึกถึงยอห์น นึกถึงงานที่เขาทำ
และนึกถึงเพื่อนของท่าน
อ่านต่อในข้อที่ 41 และ 42 ครับ
“คนมากมายมาหาพระเยซูและพูดกันว่า
‘ยอห์นไม่เคยทำการอัศจรรย์สักอย่าง
แต่สิ่งที่ยอห์นพูดถึงผู้ชายคนนี้
ถูกหมดทุกอย่าง’
หลายคนที่อยู่ที่นั่นจึงเชื่อในตัวพระเยซู”
ถึงเขาจะตายไปแล้ว
ผู้คนยังคงได้ยิน
‘เสียงร้องของยอห์นในที่กันดารอยู่’
เพราะยอห์นทำงานมอบหมายของเขาสำเร็จ
ตอนนี้ผู้คนเลยเข้ามาเชื่อในพระเยซู
เรื่องราวชีวิตของยอห์น
งานมอบหมายของเขา ความสุขที่เขามี
และแม้แต่การตายของเขา
สอนเราให้รับใช้พระเจ้าอย่างภักดี
พอใจและมีความสุขกับงานทุกอย่างที่ได้รับ
ไม่ว่าจะได้ทำงานนั้นนาน
หรือแค่ช่วงสั้นๆก็ตาม
เราควรจะศึกษา เห็นค่า
และเลียนแบบตัวอย่างของเขา
พระเยซูพูดถึงยอห์นว่าเป็นเหมือน
“ตะเกียงที่ให้แสงสว่าง”
พลังบริสุทธิ์ช่วยเขาให้ส่องแสง
เขาจึงพาผู้คนไปหาพระคริสต์
และทำให้พระเจ้าได้รับการสรรเสริญ
นี่แหละที่เราได้เรียน
จากคนไม่สมบูรณ์แบบ
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น